ไขปัญหาข้อสงสัยของการใช้โสมเกาหลี
คำถาม 1 ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับความดันโลหิตสูงสามารถรับประทานโสมได้หรือไม่?
Paulena Network ตอบ: สาเหตุที่ผู้ป่วยเกิดความดันโลหิตสูง มักจะเกิดจากเลือดคั่งเนื่องจากเส้นเลือดแดงแข็งตัวหรือผนังเส้นเลือดเป็นแผล แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่พบความผิดปกติในการทำงานของเส้นเลือดและกระแสเลือด ถ้าเราไม่ใส่ใจอาการดังกล่าวและปล่อยให้ลุกลามขยายต่อไป ก็อาจทำให้เกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้เลือดคั่งจะไปอุดตันทุกเส้นเลือดจนทำให้สมองพิการ หัวใจพิการและหัวใจวายได้
โสมมีสรรพคุณ ที่จะช่วยป้องกันเส้นเลือดคั่งป้องกันการแข็งตัวของเส้นเลือดแดง ช่วยปรับการหมุนเวียนของเลือดจนทำให้ความดันโลหิตที่สูงขึ้นลดลงและยังช่วยสร้างคอเลสเตอรอลที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ภายหลังรับประทานโสม 1 ชม. ห้ามทำกิจกรรมใดๆ ที่อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้ อาทิ วิ่ง ตีเทนนิส ปีนบันได หรืออยู่ในที่ๆอากาศแออัด
นอกจากนี้ยังต้องหลีกเลี่ยงอาการโกรธ เศร้าโศก หรืออาการอื่นๆ ที่จัดเป็นการทำให้เกิดอารมณ์รุนแรงต่างๆ ควรรักษาจิตใจให้สงบนิ่ง หากิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลายทำ เช่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือหรือฟังดนตรีเบาๆ
จากการทดลองของโรงพยาบาลในญี่ปุ่น พบว่าโสมช่วยปรับสมดุลความดันโลหิตได้ คนที่รับประทานโสมเข้าไปจะเกิดความรู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับสนิท การรับประทานโสมอย่างต่อเนื่องภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จะส่งผลในการปรับความสมดุลของความดันโลหิตดำเนินต่อไป แม้ว่าจะหยุดรับประทานโสมไปแล้วซึ่งอาจจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ หรือนานก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าก่อนหน้าที่จะหยุดรับประทานโสมนั้น เราได้รับประทานอย่างต่อเนื่องและเป็นเวลาเท่าใดและความดันดังกล่าวได้ปรับเปลี่ยนมาอยู่ภาวะที่พอเหมาะกับสภาพเงื่อนไขทางกายภาพของบุคคลผู้นั้นหรือยัง
คำถาม 2 ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับความดันโลหิตต่ำ เมื่อรับประทานโสมจะช่วยเพิ่มความดันโลหิตหรือไม่?
Paulena Network ตอบ: คนที่มีความดันโลหิตต่ำ การเต้นของหัวใจจะอ่อน ทำให้ไม่มีแรงเพียงพอที่จะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงยังส่วนต่างๆของร่างกาย ความสามารถในการผลิตเม็ดเลือดแดงก็จะต่ำกว่าคนปกติ ทำให้เป็นโรคโลหิตจางได้ง่ายและเกิดอาการหนาวได้ง่ายเช่นกัน
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า โสมมีสรรพคุณในการช่วยปรับสมดุลของความดันโลหิต ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับความดันโลหิตต่ำนั้น โสมจะช่วยปรับการหมุนเวียนของเลือดให้เป็นปกติ ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดและเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจ ทำให้ระบบการสูบฉีดเลือดดีขึ้น ความดันโลหิตจึงเพิ่มขึ้น และร่างกายกลับสู่สภาพสมดุล
เมื่อคนที่มีความดันโลหิตต่ำได้รับประทานโสมอาการเริ่มแรกที่เห็นได้ชัดคือ จะรู้สึกสบายตัวเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เพราะคนที่มีความดันโลหิตต่ำ การหลั่งของฮอร์โมนที่ช่วยลดความเครียดจะมีน้อย ยิ่งอยู่ในสภาพที่นอนหลับสนิท การหลั่งฮอร์โมนก็จะยิ่งลดลง ดังนั้นจึงตื่นจากการหลับยาก แต่โสมจะช่วยให้การหลั่งฮอร์โมนลดความเครียดมีระดับเพิ่มขึ้น และลืมตาขึ้นมาก็จะไม่รู้สึกงัวเงียอยากนอนต่ออีก
คำถาม 3 โสมจะช่วยลดคอเลสเตอรอลจริงหรือไม่?
Paulena Network ตอบ: หลังรับประทานโสมแล้ว ปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่จะมีคุณภาพที่ดีขึ้น
ค่าคอเลสเตอรอลในร่างกายหมายถึง ปริมาณคอเลสเตอรอลรวมที่มีอยู่ในเลือด ซึ่งรวมทั้งคอเลสเตอรอลดีและไม่ดีอยู่ด้วยกัน ชนิดแรกคือ HDL (คอเลสเตอรอลที่มีนิวคลีโอโปรตีนสูง) และชนิดหลังคือ LDL (คอเลสเตอรอลที่มีนิวคลีโอโปรตีนต่ำ)
แต่เมื่อเราเอ่ยถึงคอเลสเตอรอล ก็มักจะพูดถึงแต่ปริมาณรวม ดังนั้น เราจึงควรหันมาสนใจในอัตราส่วนของ HDL และ LDL มากกว่า
การตรวจสอบสุขภาพในปัจจุบัน ก็เริ่มมีการตรวจสอบ HDL และ LDL แยกออกจากกันแล้ว เมื่อรับประทานโสมแล้ว ปริมาณรวมของคอเลสเตอรอลจะไม่ลดลง แต่เมื่อตรวจสอบแยกส่วนแล้ว ก็จะพบว่าปริมาณของ HDL จะเพิ่มขึ้น
แต่ในการทดลองบางครั้ง HDL ก็ไม่ได้มีเพิ่มมากขึ้นแต่กลับพบว่าปริมาณของ LDL ได้ลดลง ดังนั้น โสมจึงมีสรรพคุณที่ลด LDL และเพิ่ม HDL ของร่างกายได้ดี
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปริมาณรวมของคอเลสเตอรอลที่มีมากเกินหรือน้อยเกินไป ก็จะลดประสิทธิภาพการทำงานของตับ โสมจะช่วยปรับคุณภาพของตับให้ดีขึ้นและยังช่วยรักษาปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายให้อยู่ในระดับที่สมดุลได้
คำถาม 4 ผู้ป่วยสมองอัมพาตใช้โสมได้หรือไม่?
Paulena Network ตอบ: สาเหตุของสมองอัมพาตมี 2 ชนิด ชนิดแรก เกิดจากเส้นเลือดฝอยในสมองแตก เมื่อเลือดไหลออกมา พลาสมาในเลือดก็จะทำให้เลือดแข็งตัวและคั่งอยู่ในสมอง ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและหยุดทำงาน เมื่อเส้นเลือดแตกแล้ว ก็ไม่อาจกลับสู่สภาพเดิมได้
ดังนั้น การรักษาจึงเป็นไปได้ยาก แต่โสมจะป้องกันการแข็งตัวของเลือดที่เกิดจากพลาสมาได้ และยังช่วยละลายเลือดคั่ง ดังนั้นโสมจึงช่วยป้องกันและรักษาเส้นเลือดแตกในสมองได้อย่างมีประสิทธิผล
สำหรับอาการอัมพาตที่เกิดจากเลือดที่คั่งในสมองสารไขมันที่อยู่ในเลือดคั่งหรือเศษเซลล์ที่ลอกมาจากเส้นเลือดที่แตก ก็จะไปอุดตันตามเส้นเลือดต่างๆ ในสมอง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากอาการชักกระตุกที่เกิดจากสูบบุหรี่จัด หรือหลังผ่าตัด โดยเฉพาะการทำลายที่เกิดจากการกระแทกอย่างฉับพลันที่เกิดจากอุบัติเหตุ นอกเสียจากว่าการผ่าตัดจะประสบความสำเร็จ ไม่เช่นนั้นส่วนมากก็จะเสียชีวิตเพราะเลือดคั่งในสมอง เป็นที่น่ายินดีว่า สารซาโปนินในโสม มีสรรพคุณช่วยสลายใยโปรตีนได้ จึงสามารถช่วยสลายเลือดคั่งที่อยู่ในสมองได้
ถึงแม้ว่าโสมจะมีผลในการป้องกันสมองอัมพาตได้ดี แต่ก็ต้องอาศัยการรับประทานที่ต่อเนื่องอย่างจริงจังจึงจะเห็นผลได้ เมื่อเรารับประทานอย่างสม่ำเสมอแล้วสุขภาพก็จะดีขึ้นตามที่คาดหวังได้ และจากข้อมูลพบว่าคนที่เคยล้มป่วยเพราะสมองอัมพาต หลังบำบัดด้วยโสมมีจำนวนไม่น้อยที่สามารถหายดีกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
คำถาม 5 ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลมีวิธีการรักษาด้วยโสมได้อย่างไร?
Paulena Network ตอบ: ผลการทดลองจากสัตว์ ทำให้รู้จักรูปแบบของโรคนี้ 5 ลักษณะ ลักษณะที่เด่นๆ มี 2 รูปแบบคือ การทดสอบโดยใช้ความเครียด และการทดสอบโดยปิดทางออกส่วนปลายของกระเพาะ
แบบแรกเกิดจากความเครียด โดยจับหนูขังอยู่ในกรงและแช่ลงในน้ำ หลังจากนั้นก็ผ่าตัดตรวจดูสภาพภายในกระเพาะอาหารของหนู เมื่อหนูเผชิญกับความตายที่กำลังจะมาจึงจะเกิดความเครียดที่รุนแรง ทำให้หลั่งฮอร์โมนระงับความเครียดจำนวนมากออกมา ฮอร์โมนชนิดนี้จะไปกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารจนเกิดแผลในกระเพาะ
สาเหตุนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนในปัจจุบันเป็นโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ซึ่งมีร้อยละ 80 ของสาเหตุทั้งหมด เพราะคนในปัจจุบันมีความเครียดสูงทั้งในเรื่องการทำงาน ครอบครัว และเศรษฐกิจ เข้ามารุมล้อม จึงทำให้เป็นโรคนี้กันมาก ผู้ป่วยประเภท เมื่อใช้มือกดที่บริเวณกระเพาะอาหารจะรู้สึกปวด โสมจะช่วยรักษาได้ผู้ป่วยที่มีอาการเพียงเล็กน้อย รับประทานโสมจะช่วยบำบัดได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ก็จะช่วยลดอาการได้เช่นกัน
แบบที่ 2 ทดลองจากการมัดที่ทางออกส่วนปลายของกระเพาะอาหารทำให้น้ำย่อยในกระเพาะไม่สามารถไหลไปที่ลำไส้เล็ก ทำให้น้ำย่อยคั่งอยู่ในกระเพาะอาหารมาก จนทำให้ผนังกระเพาะอาหารเป็นแผล สาเหตุประเภทนี้ไม่สามารถใช้โสมรักษาได้ เพราะโสมไม่มีสรรพคุณที่จะระงับการหลั่งน้ำย่อยของกระเพาะอาหารแต่ถ้าหากใช้โสมโดยที่เคยใช้ยาสำหรับระงับการหลั่งน้ำย่อยก่อน ก็จะช่วยรักษาแผลที่เกิดขึ้นได้ ทำให้กระเพาะอาหารกลับสู่ปกติได้รวดเร็ว
คำถาม 6 โสมช่วยรักษาโรคมะเร็งได้หรือไม่?
Paulena Network ตอบ: โรคมะเร็งยังเป็นโรคที่วงการแพทย์พยายามที่จะศึกษาอยู่ และยังไม่สามารถหาวิธีรักษาและกำจัดมะเร็งให้หมดจากโลกนี้ได้ แม้โสมซึ่งเป็นราชาแห่งมวลสมุนไพรก็ตาม ก็ไม่สามารถสกัดกั้นโอกาสที่จะทำให้เกิดมะเร็ง และก็ยังไม่สามารถรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งให้หายจากโรคนี้ได้ แต่โสมก็ช่วยในการป้องกันมิให้เกิดโรคนี้ได้ส่วนหนึ่ง และยังช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้อย่างได้ผล
จากข้อมูลศึกษาพบว่า สาเหตุของการเกิดมะเร็งเกิดจากเซลล์ในร่างกายถูกกระตุ้นจากปัจจัยบางอย่าง อาทิ สารเคมี แสงแดด สารนิโคตินในบุหรี่ ทำให้เซลล์เปลี่ยนไปอยู่ในสภาพหยุดนิ่งไม่ทำงานตามปกติ และกลายไปเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด
คำถามที่ว่า โสมจะมีผลต่อการรักษาโรคได้อย่างไร? เราตอบได้จากข้อมูลที่ได้จากการทดลองของนักวิชาการซึ่งพบว่า เซลล์ที่อยู่ในสภาพหยุดนิ่ง เมื่อเราใส่แบบพันธุ์วงศ์ (gene) ของโสมลงไปจะทำให้เซลล์แปรสภาพกลับกลายเป็นเซลล์ปกติอีกครั้ง แต่นั่นก็เป็นแค่การทดลองที่ทำในหลอดทดลอง แต่มันจะเกิดผลได้จริงในร่างกายคนหรือไม่นั้น ก็ยังคงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป แต่อย่างน้อยก็อาจทำให้เซลล์หยุดนิ่งดังกล่าวไม่กลายสภาพเป็นเซลล์มะเร็งต่อไป และอาจหยุดการแปรสภาพอยู่แค่ในขั้นนี้ก็ได้ อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของนักวิชาการ ความจริงเป็นอย่างไรต้องรอหลักฐานที่จะมายืนยันให้แน่ชัด
ยกเว้นมะเร็งปอดแล้ว สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งเสียชีวิต มักจะเป็นอาการเลือดคั่ง เพราะถ้าหากว่าเซลล์มะเร็งจะหยุดอยู่เฉพาะที่ก็คงไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่เมื่อใดที่มันลุกลามกระจายไปส่วนต่างๆของร่างกาย เมื่อนั้นก็จะเห็นฤทธิ์ร้ายของมัน เพราะว่าการลุกลามเพียงเล็กน้อยของเซลล์มะเร็งก็จะทำให้เกิดเลือดคั่งและไปอุดตันตามเส้นเลือดขึ้นได้ ทำให้ถึงแก่ชีวิต
แต่ในเมื่อโสมมีสรรพคุณช่วยสลายอาการเลือดคั่งได้ จึงเป็นธรรมดาที่จะช่วยต่ออายุให้กับผู้ป่วยมะเร็งได้นอกจากนี้โสมยังช่วยระงับความเจ็บปวดรุนแรงที่ผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้ายต้องประสบให้ทุเลาลงได้
โดยทั่วไป ผู้ป่วยมะเร็งจะมีระบบหมุนเวียนของโลหิตไม่ดี และมีภูมิต้านทานโรคต่ำ ดังนั้น จึงทำให้เสียชีวิตได้ง่ายภายในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากที่อาการของโรคไม่ได้รับการดูแลรักษาสุขภาพอย่างดี โสมจะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้ายที่หน้าตาหมองคล้ำเพราะตับแข็งตัวและมีอาการผมร่วง ได้รับประทานโสม 30 กรัมก็สามารถที่จะกลับไปดูมีสีเลือดและแจ่มใสขึ้นได้
คำถาม 7 อาการของวัยหมดประจำเดือนของผู้หญิง โสมช่วยได้อย่างไร?
Paulena Network ตอบ: เมื่อผู้หญิงอายุประมาณ 40-45 ปี การหลั่งฮอร์โมนเพศในร่างกายจะเปลี่ยนไป ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆของร่างกาย เช่น หน้าแดงก่ำ เวียนหัว ตาพร่ามัว มือและเท้าร้อนวูบวาบ ตื่นเต้นง่าย เหงื่อกาฬ หูอื้อ ความดันโลหิตไม่คงที่ หวาดระแวง ซึมเศร้า ความจำถดถอย สมาธิสั้น และอ่อนเพลียง่าย
สาเหตุหลักของอาการต่างๆเกิดจาก เมื่อผู้หญิงหมดประจำเดือน การหลั่งฮอร์โมนเพศของร่างกายจะผิดปกติ ฮอร์โมนในร่างกายมี 2 ประเภท คือ ฮอร์โมนเพศชายและฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งไม่ว่าเพศใดก็จะมีฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดนี้อยู่ด้วยในร่างกาย แต่ฮอร์โมนหญิงในเพศชาย มักจะถูกทำลายโดยตับ ดังนั้น ฮอร์โมนเพศชายจะมีความทนทานที่มากกว่า
เมื่อหมดประจำเดือน การหลั่งของฮอร์โมนเพศหญิงจะลดลง ทำให้สรีระของผู้หญิงยิ่งมีแนวโน้มใกล้เคียงกับผู้ชายมากขึ้น เมื่อสรีระเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันทำให้ทั้งทางด้านกายและใจปรับตัวไม่ทัน ทำให้การทำงานของระบบประสาทแปรปรวน และแสดงออกมาในรูปแบบของอาการต่างๆอย่างที่กล่าวมา
จากการวิจัยของนักวิชาการมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นที่สำรวจจากผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนทั่วประเทศ และทำการวิจัยสรรพคุณของโสมที่ช่วยระงับและบรรเทาอาการต่างๆของวัยหมดประจำเดือนพบว่า โสมมีประสิทธิภาพในการลดอาการ อาทิ ปวดหัว เวียนหัว ปวดเอว กล้ามเนื้อและข้อต่อแข็ง อ่อนเพลีย หายใจขัด ตาพร่า มือและเท้าเย็นได้ดี ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและคนที่มีอาการดังกล่าว เมื่อรับประทานโสมก็จะมีอาการดีขึ้น
คำถาม 8 โสมป้องกันการเกิดผลแทรกซ้อนของยาแผนปัจจุบันได้จริงหรือ?
Paulena Network ตอบ: ในบรรดายาแผนปัจจุบัน อาการแทรกซ้อนส่วนมากจะเกิดจากต่อมหมวกไต ฮอร์โมนต่อมหมวกไตจะช่วยในการระงับการอักเสบ อาการแพ้ และอาการช็อกได้ดี
แต่ผลแทรกซ้อนของฮอร์โมนชนิดนี้รุนแรงและครอบคลุมกว้างขวางมาก เริ่มตั้งแต่อาการที่ไม่รุนแรงเช่น ระบบย่อยอาหารผิดปกติ ผิวหนัง การเผาผลาญอาหาร ระบบขับถ่าย เกิดอาการผิดปกติ เลือดออก เจ็บปวด เมื่อยล้า น้ำหนักเปลี่ยนแปลง โรคตา เส้นประสาทและเลือดผิดปกติ จนถึงอาการรุนแรง เช่น โรคติดเชื้อ ระบบย่อยอาหารเป็นแผล โรคเบาหวาน โรคกระดูกพรุน โรคประสาท ฯลฯ
แม้ว่าผลข้างเคียงของยานี้จะมีมากมายนับไม่ถ้วนก็ตาม แต่ในวงการแพทย์สมัยใหม่ เมื่อเจอโรคที่ไม่สามารถจะรักษาก็จำเป็นต้องนำยานี้ไปใช้
มีการทดลองกับหนูของศาสตราจารย์ในคณะเภสัชกรรมของมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโสมกับอาการแทรกซ้อนของฮอร์โมนต่อมหมวกไต โดยได้แบ่งศึกษาหนูเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งฉีดฮอร์โมนต่อมหมวกไต และอีกกลุ่มฉีดสารส่วนผสมของโสมเข้าไปในตัวหนู และศึกษาอาการเสื่อมสภาพของต่อมหมวกไตและต่อมไธมัส (thymus gland) พบว่าหนูที่ฉีดด้วยสารของโสมไม่เกิดอาการเสื่อมใดๆ
ฮอร์โมนต่อมหมวกไตทำให้ร่างกายเก็บกักโซเดียมไว้ จนก่อให้เกิดโรคขาดโปตัสเซียมในเลือด บวมน้ำ และความดันโลหิตสูง จากการทดลองพบว่า โสมจะช่วยรักษาความสมดุลของโปตัสเซียมในเลือด ดังนั้น โสมจึงสามารถช่วยยับยั้งการกักเก็บโซเดียมในร่างกายที่เกิดจากฮอร์โมนต่อมหมวกไตได้
นอกจากนี้ยังพบว่า โสมยังช่วยให้ร่างกายกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนต่อมหมวกไตโดยธรรมชาติได้ ซึ่งหมายความว่า เราไม่จำเป็นต้องฉีดฮอร์โมนเข้ามาจากภายนอกอีก ร่างกายก็สามารถผลิตฮอร์โมนขึ้นมาได้ทำให้เกิดเอนไซม์ระงับการอักเสบ และไปรักษาอาการของโรคต่างๆได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหอบ ไขข้ออักเสบและมะเร็ง ถ้าได้บำบัดโสมอย่างทันท่วงทีก็จะรักษาโรคได้
คำถาม 9 หญิงตั้งครรภ์ใช้โสมได้หรือไม่?
Paulena Network ตอบ: การถ่ายเทสารอาหารของแม่และทารกในครรภ์นั้นอาศัยทางสายรก เลือดของแม่จะไม่ไหลไปสู่ตัวทารกโดยตรง ดังนั้น อาหารและยาส่วนใหญ่ก็จะถูกดูดซึมจากแม่ และจะไม่ส่งผลต่อสุขภาพของทารกแต่ถ้าแม่รับประทานยานอนหลับหรือยาระงับประสาทก็จะทำให้เกิดความเสี่ยงในการให้กำเนิดทารกที่มีอาการผิดปกติสูง
ดังนั้น จึงมีคนสงสัยว่ารับประทานโสมจะมีผลแทรกซ้อนดังกล่าวหรือไม่? คำตอบคือ ไม่ เพราะนอกจากโสมจะเป็นสมุนไพรธรรมชาติที่ไม่ก่อผลต่อสุขภาพทารกแล้ว ยังช่วยให้การหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงและรักษาโรคโลหิตจาง มีแต่ผลดีต่อแม่และทารกเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารและยาของหญิงมีครรภ์ก็ต้องอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ มากหรือน้อยเกินไป ก็ไม่ใช่สิ่งดีสำหรับสุขภาพของแม่แต่อย่างใด และข้อสำคัญ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน และการบริโภคควรอยู่ในการควบคุมของแพทย์
คำถาม 10 เด็กรับประทานโสมได้หรือไม่?
Paulena Network ตอบ: โสมมีสรรพคุณช่วยการหมุนเวียนของเลือด ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ปรับความสมดุลของระบบประสาท กระตุ้นการเผาผลาญ เพิ่มภูมิต้านทานโรคและปรับความสมดุลของเชื้อโรคช่วยย่อยอาหารที่อยู่ในลำไส้ ดังนั้น เด็กที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต เมื่อรับประทานโสมจะช่วยให้การเติบโตเกิดความสมดุล
โดยเฉพาะเด็กที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ เป็นไข้หวัดง่าย ลำไส้ทำงานไม่ดี ร่างกายอ่อนแอ และเด็กที่มีโรคไตเสื่อม ยิ่งควรต้องรับประทานโสมเป็นประจำ
คำถาม 11 หลังจากรับประทานเป็นเวลานานเท่าใด การทำงานของโสมจึงจะแสดงผล?
Paulena Network ตอบ: คำตอบนี้ขึ้นอยู่กับอาการและชนิดของโรค เช่น ถ้าเป็นแค่แก้อาการอ่อนเพลีย หลังรับประทาน 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง อาการก็จะหายไป กรณีที่มีอาการของโรคความดันโลหิต หลังรับประทาน 15 นาที ความดันก็จะลดลง และกลับไปเหมือนเดิมเมื่อผ่านไป 2 ชั่วโมงผู้ป่วยโรคโลหิตจาง หลังรับประทานโสม 1 เดือนก็จะเห็นผลดีขึ้น
สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและผู้ชราที่ต้องรับประทานโสมจำนวนมาก พละกำลังและสีเลือดบนใบหน้าจะดูดีขึ้นเป็นชั่วคราว อาการปวดรุนแรงของผู้ป่วยมะเร็งจะบรรเทาลงหลังรับประทานโสมในวันต่อมา
สำหรับระยะเวลาของโรคยิ่งนานเท่าใด เวลาที่บำบัดด้วยโสมก็ยิ่งต้องใช้เวลานานเท่านั้น เช่นโรคเส้นเลือดแข็งตัวที่มีอายุของโรค 5-10 ปี ใช้โสมบำบัดเพียง 1 - 2 เดือน ผลของการรักษาจะยังไม่เห็นแน่นอน แต่หลังจากบำบัด 4-5 เดือนหรือครึ่งปีขึ้นไป ก็จะค่อยๆเห็นสรรพคุณรักษาของมัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนที่แตกต่างกัน บางคนก็เห็นผลในเพียงเวลาสั้นๆ บางคนก็ต้องบำบัดเป็นเวลานานเป็นปี ไม่อาจระบุเวลาที่แน่นอนได้ นั่นเป็นเพราะว่าระบบต่างๆในร่างกายทำงานเกี่ยวข้องกัน ระบบหมุนเวียน ระบบภูมิต้านทาน ระบบเผาผลาญ ระบบหลั่งฮอร์โมน ระบบประสาท และระบบย่อยอาหาร ต้องทำงานประสานกันอย่างสมดุล เมื่อระบบใดระบบหนึ่งเกิดขัดข้องก็จะไปขัดขวางการทำงานของระบบอื่นๆด้วย จึงทำให้ระยะเวลาบำบัดต้องยาวนานออกไป เพื่อปรับทุกส่วนให้กลับมาสมดุลอีกครั้ง แต่ถ้าสาเหตุของโรคมาจากนิสัยประจำวันที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น ชอบรับประทานของมันๆ สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เมื่อใช้โสมบำบัดและปรับเปลี่ยนนิสัยการกินประจำวัน ก็จะเห็นผลรักษาได้อย่างรวดเร็ว
คำถาม 12 โสมรับประทานร่วมกับยาชนิดอื่นได้หรือไม่?
Paulena Network ตอบ: ตามหลักแล้ว เราสามารถรับประทานร่วมกันได้ ผู้อ่านที่สงสัยในข้อนี้ คงเพราะกำลังรับประทานยาอื่นอยู่ และทำให้เกิดความกังวลในเรื่องของการต้านฤทธิ์ยาของโสมและยาอื่นๆที่รับประทานร่วมกันอยู่
สำหรับยาแผนสมัยใหม่ ฤทธิ์ยาจะออกเร็วมาก แต่ยาที่ยิ่งออกฤทธิ์เร็ว ผลข้างเคียงของยาก็จะยิ่งรุนแรงหากรับประทานร่วมกับยาอื่นที่เรารับประทานประจำอยู่อาจเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายที่ไม่คาดคิดหรือเกิดการต้านฤทธิ์ยา จนไม่เกิดผลในการรักษาโรคได้
สำหรับโสม เป็นยาสมุนไพรตามธรรมชาติที่ไม่มีส่วนประกอบทางเคมีที่มีฤทธิ์รุนแรง และเป็นคุณสมบัติพิเศษของโสมที่จะมีสาร 2 ชนิดที่มีฤทธิ์ต้านกันอยู่ร่วมในตัวโสมได้ ส่วนใหญ่ก็จะรวมกับยาอื่นได้และไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย แต่เพื่อความไม่ประมาทแล้ว เราควรจะหลีกเลี่ยงที่จะรับประทานโสมพร้อมกับยาแผนสมัยใหม่ ควรเว้นจากหลังรับประทานยาไป 2 ชั่วโมง จึงรับประทานโสมตาม
สำหรับโสมที่จะรับประทานร่วมกับยาจีนสมุนไพรชนิดอื่น ก็ต้องระวังในเรื่องการต้านฤทธิ์ยา ถ้ายาสมุนไพรนั้นมีฤทธิ์ที่คล้ายหรือเหมือนกับโสมก็รับประทานร่วมกันได้ไม่มีปัญหาใด แต่ถ้าเป็นยาที่รักษาอาการโรคที่ต่างจากโสมก็ไม่ควรรับประทานพร้อมกัน ดังนั้น เวลาที่สั่งซื้อยาจีนในร้านขายยาจีน ควรถามเภสัชกรให้แน่ใจก่อน จึงจะรับประทานโสมร่วมกันได้
คำถาม 13 โรคเบาหวานรับประทานโสมได้หรือไม่?
Paulena Network ตอบ: รูปแบบของโรคเบาหวานมี 2 แบบ
ชนิดแรก เป็นโรคเบาหวานชนิดที่เป็นในผู้เยาว์เกิดจากเซลล์ในตับอ่อนถูกทำลายจนไม่อาจผลิตอินซูลินได้ ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ลักษณะเฉพาะอยู่ที่น้ำตาลในน้ำปัสสาวะจะมีมาก ผู้ป่วยชนิดนี้ไม่อาจบำบัดโรคได้ด้วยโสม
ชนิดที่ 2 เป็นโรคเบาหวานที่เป็นในผู้ใหญ่น้ำตาลในเลือดจะไม่สูงเหมือนชนิดแรก แต่ก็จะมีน้ำตาลสูงในน้ำปัสสาวะเช่นกัน โรคเบาหวานชนิดนี้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป สาเหตุเพราะเซลล์ตับอ่อนถูกทำลายจนทำหน้าที่ตามปกติลดลง โรคเบาหวานชนิดนี้ รับประทานโสมจะทำให้น้ำตาลในเลือดลดอย่างรวดเร็ว แต่น้ำตาลในน้ำปัสสาวะยังคงเดิม แต่ถ้ารับประทานโสมอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ก็จะทำให้น้ำตาลในน้ำปัสสาวะค่อยๆลดลงได้เช่นกัน
โสมมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวานได้อย่างมีผล เช่น อาการคอแห้ง อ่อนเพลีย ฯลฯ ก็จะหมดไปหลังรับประทานโสมเพียงวันเดียว โดยเฉพาะโสมคน จะมีส่วนประกอบที่ช่วยรักษาโรคเบาหวาน มะเร็ง และเส้นเลือดแข็งตัวได้ดีกว่าโสมชนิดอื่นๆ
คำถาม 14 โสมรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานได้หรือไม่?
Paulena Network ตอบ: แน่นอน ท่านสามารถรับประทานโสมเป็นประจำโดยไม่ต้องกังวล สรรพคุณของโสมกว้างขวางมาก ไม่เหมือนยาแผนสมัยใหม่ที่รักษาอาการได้เฉพาะอย่าง สรรพคุณหลักๆแบ่งเป็น 6 ประการต่อไปนี้
1. ช่วยการหมุนเวียนของเลือด ช่วยสร้างเลือด ห้ามเลือด และระงับอาการอักเสบได้
2. เพิ่มภูมิต้านทานโรคของร่างกาย
3. ปรับปรุงการเผาผลาญของไขมัน เพิ่มคุณภาพการทำงานของตับ ช่วยการผลิตอสุจิ ลดอาการอ่อนเพลีย
4. ปรับความสมดุลของระบบการผลิตฮอร์โมน ช่วยเร่งผลิตฮอร์โมนระงับความเครียด
5. รักษาสมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติ
6. ปรับความสมดุลของเชื้อโรคที่อยู่ในลำไส้ ต้านทานพิษของเชื้อโรคที่ปล่อยในลำไส้ และช่วยเพิ่มเชื้อโรคที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซึมของลำไส้
โสม นอกจากจะช่วยรักษาและบรรเทาอาการโรคแล้ว ยังช่วยทำให้อาการกลับเป็นปกติได้ ทำให้ร่างกายมีสภาพที่ดีขึ้นด้วย แต่ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งช่วงในการรับประทาน จึงจะเห็นผลของการรักษาได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคมา 20 ปี ก็ต้องรับประทานโสมเป็นเวลา 20 ปี และหลังจากที่หายจากโรคก็ต้องรับประทานโสมอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันโรคจะย้อนกลับมาเป็นอีกครั้ง
ความพยายามในด้านนี้ เป็นสิ่งที่ทุกคนก็สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีธุรกิจรัดตัวแค่ไหน เพียงรับประทานโสมวันละ 2-3 ครั้ง ก็จะช่วยป้องกันและบำบัดโรคเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิงจาก : หนังสือพลังแห่งพืชสมุนไพร โสม กอไชย โตศิริโชค : บก. เรียบเรียง
บริษัท พอลลีน่า เน็ทเวิร์ค จำกัด
2553 อาคาร ซี5-ซี6 ถนนลาดพร้าว แขวง/เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือ สนใจสมัครสมาชิกได้ที่...
Call center : 081-0299341,086-3642418 หรือ e-mail : paulenanetwork@gmail.com
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น